‘การตรวจสอบยาเสพติด’ คืออะไร และทำไมจึงเป็นที่ต้องการในออสเตรเลีย

เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวการเสียชีวิตอันน่าสลดใจของหญิงสาวรายหนึ่งหลังจากที่เธอใช้ยาเม็ดไม่ทราบชนิดในงานเทศกาลดนตรีสเตอริโอโซนิค การเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการใช้ยาในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในประเทศออสเตรเลียแต่อย่างใด ประเด็นนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าควรจะมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการลดอันตรายจากการใช้ยาในประเทศออสเตรเลียหรือไม่
เมื่อสิบปีก่อน สมาคมแพทย์ออสเตรเลียได้อนุมัติงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการทดสอบยาเสพติดในประเทศออสเตรเลีย เพื่อตรวจสอบว่าในยาเสพติดจริงๆแล้วประกอบด้วยสารอะไรบ้าง อันจะนำไปสู่การดำเนินงานเพื่อลดปริมาณการใช้ยา ลดการใช้ยาเกินขนาด และลดการเสียชีวิตจากการใช้ยา
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ The Conversation คลิกอ่านต้นฉบับได้ที่นี่
“การตรวจสอบยาเสพติด” หรือที่เคยเรียกว่า “การทดสอบยาเม็ด” นั้น ทำให้ผู้ที่ใช้ยามีโอกาสทราบได้ว่าในยานั้นประกอบด้วยสารอะไรบ้างก่อนที่จะใช้ และยังทำให้นักวิจัยด้านยาเสพติดและแอลกอฮอล์เข้าถึงตัวยาที่กลุ่มผู้ใช้ยาโดยทั่วไปใช้อยู่
การตรวจสอบยาเสพติดนี้ริเริ่มขึ้นจากเทศกาลงานดนตรีเต้นรำของชาวยุโรปที่มีการใช้ยาปลอมและมีสารปนเปื้อน ผู้ใช้ยาเริ่มที่จะกลัวสารแปลกปลอมในยาว่าอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง แต่เนื่องจากไม่ได้มีการควบคุมยาประเภทนี้จึงไม่มีหนทางใดที่จะทราบได้
กว่าสิบปีมาแล้ว นับตั้งแต่ที่ได้เริ่มทำงานวิจัยในเทศกาลดนตรีเอนชานท์เต็ด ฟอร์เรสท์ ที่ออสเตรเลียตอนใต้ เราก็มีความกังวลในเรื่องนี้เช่นกัน และช่วงเวลาสิบปีก็นับเป็นเวลายาวนานสำหรับตลาดยาเสพติด ทำให้ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญกับตลาดยาเสพติดที่อันตรายมากที่สุด
ยาดังกล่าวเป็นสารที่ยังไม่เคยมีการพิสูจน์และไม่เคยมีการระบุทางด้านพิษวิทยามนุษย์ รวมถึงสารเอ็มดีเอ็มเอ (methylenedioxy-methamphetamine หรืออีสเตซี) ที่มีระดับความบริสุทธิ์และปริมาณที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ยานี้สามารถหาซื้อได้ทางอินเตอร์เน็ทด้วยสกุลเงินดิจิตอลที่ไม่สามารถตามรอยผู้ซื้อได้ จากที่ผมสังเกตในขณะที่เป็นแพทย์ประจำห้องฉุกเฉิน ยานี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การเริ่มต้นเทศกาลดนตรีแย่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา โดยทำให้เกิดอันตรายจากการใช้ยาเกินขนาดได้
การตรวจสอบยาเสพติดเป็นทั้งกระบวนการและการรณรงค์
ตัวอย่างที่ดีที่สุดตัวอย่างหนึ่งได้แก่โครงการตรวจสอบยาเสพติดในเมืองซูริค ภายใต้ชื่อโครงการ “เซฟเฟอร์ปาร์ตี้” (หรือปาร์ตี้นี้ปลอดภัยกว่า) โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเบิร์น นักวิจัยได้นำเครื่องมือนิติเวชศาสตร์ที่ทันสมัยไปยังเทศกาลดนตรีสตรีทพาเหรด ซึ่งเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปงานหนึ่ง ก่อนเวลาเริ่มงานหลายชั่วโมง นักนิติเคมี แพทย์ และทีมผู้เชี่ยวชาญ ต่างเตรียมพร้อมที่จะทดสอบยาเสพติดในห้องแล็ปเคลื่อนที่ นักเคมีต่างตรวจสอบเพื่อหายาเสพติดที่ทำให้เกิดอันตราย หรือยาเสพติดในปริมาณที่เป็นอันตราย
ผู้มาร่วมงานต่างเข้าคิวรอตั้งแต่ประตูเปิด เพื่อนำส่งเศษที่ขูดออกมาจากยาที่ตั้งใจจะใช้ในวันนั้น หน่วยงานตำรวจต่างทราบและยินยอมให้มีโครงการนี้เพราะทราบดีถึงประโยชน์ที่มีต่อและตำรวจยังสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้โดยเป็นข้อมูลที่ไม่เชื่อมโยงไปยังตัวบุคคล ซึ่งถ้าไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้เลย
ผู้ที่มาเข้าร่วมเทศกาลนี้จะได้รับรหัสจำเพาะที่ตรงกับรหัสของยาที่นำส่ง จากนั้นจึงนั่งรอฟังผล โดยจะใช้เวลาทดสอบยาราว 20-40 นาที ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่เป็นโอกาสอันดีในการพูดคุยระหว่างผู้ใช้ยาและผู้ทดสอบยา
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้มาเข้าร่วมงานมักจะเป็นผู้ใช้ยาที่ควบคุมตนเองได้ หมายถึงว่าการใช้ยานั้นไม่ได้เป็นปัญหา และไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งนั่นหมายถึงว่าจะหาพวกเขาเหล่านี้ไม่พบเลยจากเทคนิคการสำรวจตามปกติ ในขณะที่หลายๆคนอาจจะคิดว่าการทดสอบเพื่อระบุตัวยาก็นับเป็นเหตุผลเพียงพอแล้วสำหรับการดำเนินโครงการตรวจสอบยาเสพติดตามงานเทศกาลดนตรี แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังนับเป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการอภิปรายถึงเหตุผลอื่นๆสำหรับการดำเนินโครงการลักษณะเช่นนี้ได้อีกด้วย
ในสถานที่ที่มีการตรวจสอบยาเสพติด เราจะได้เห็นผู้มาร่วมงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง และเป็นไปได้ที่จะลดพฤติกรรมไม่ปลอดภัยอันอาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ ในห้องแล็ปเคลื่อนที่ของเรานับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 2000 มีผู้เข้าร่วมการสำรวจมากถึงสองในสามที่ไม่ใช้ยาเสพติดเมื่อพวกเขาพบว่ายานั้นมีสารประกอบอื่นๆที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่พวกเขาคาดคิด โดยมีโครงการรณรงค์อื่นๆเพียงไม่กี่โครงการเท่านั้นที่แสดงให้เห็นผลที่มีประสิทธิภาพสูงในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
ในปัจจุบัน โครงการนี้ได้ขยายไปในหลายๆประเทศทั่วยุโรป และได้มีการพัฒนาแนวทางปฏิบัติการเฉพาะสำหรับแต่ละประเทศ
แล้วทำไมจึงไม่มีโครงการเช่นนี้ในออสเตรเลีย
มีการต่อต้านการตรวจสอบยาเสพติดในประเทศออสเตรเลียอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา โดยส่วนมากมาจากผู้ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมจากยุคของนายกรัฐมนตรีโฮเวิร์ดซึ่งมีนโยบาย “ต่อต้านยาเสพติด”
ข้อโต้แย้งบางประการแสดงถึงความกังวล เช่นข้อกล่าวหาที่ว่าโครงการเช่นนี้จะเป็นการสื่อสาร “ข้อความที่ผิด” ไปยังผู้ใช้ยาหรือสังคมในวงกว้าง ประเด็นนี้เริ่มมีความชัดเจนขึ้นมาเมื่อกลางศตวรรษที่ 2000 ในช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงผู้สูงอายุได้แก่ นายคริสโตเฟอร์ ไพน์ ผู้แถลงการณ์ในช่วงเวลานั้น ซึ่งตัวผมรวมทั้งผู้สนับสนุนรายอื่นๆต่างมีส่วนร่วม ได้แก่
...กลุ่มแพทย์จำนวนมาก เป็นผู้ที่คิดว่ายาเสพติดเป็นประเด็นทางด้านสุขภาพมากกว่าที่จะเป็นการกระทำผิดด้านอาชญากรรมและการกระทำอันตรายต่อตนเอง…
และการทดสอบยาเม็ดยังหมายถึง
…แนวคิดที่อันตราย เพราะหากอนุญาติให้กลายเป็นทางเลือกได้ ก็จะทำให้นโยบายต่อต้านยาเสพติดของรัฐบาลสั่นคลอน
ยังมีอีกหลายกลุ่มที่รู้สึกว่ากระบวนการนี้เน้นย้ำบทสรุปความล้มเหลวของสงครามยาเสพติด เพราะเป็นแนวทางในด้านตรงกันข้าม การให้บริการด้านพิษวิทยาและการแพทย์จะ “กระตุ้น” พฤติกรรมของผู้ใช้ยาให้ดีขึ้นได้ด้วยการโน้มน้าวใจมากกว่าที่จะขู่ด้วยอาชญากรรม ในมุมของของพวกเขา กฎเป็นอะไรที่มีไว้ฉีก แต่ความตายและการสูญเสียสมรรถภาพอย่างถาวรเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างจริงจังมากกว่า
จากข้อกล่าวหาที่ว่าอาจจะเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ยาเสพติดมากขึ้นนั้น เราอาจจะเห็นด้วย หากแผนการรณรงค์นี้เกิดขึ้นหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือหน้าโรงเรียนมัธยม แต่ทว่ากิจกรรมนี้ตั้งเป้าหมายอย่างรอบคอบไปที่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมากที่สุด ในสถานที่ที่ผู้ใช้ยาเลือกว่าจะเสพยา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นการสนับสนุนให้ใช้ยาเสพติด หากแต่เป็นการโน้มน้าวให้ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้มากกว่า
และไม่มีขั้นตอนใดเลยที่ผู้ใช้ยาจะได้รับแจ้งว่าสิ่งที่นำเข้าไปทดสอบนั้น เป็นยาที่ “ปลอดภัย” หนทางเดียวที่จะปลอดภัยอย่างแท้จริงจากอันตรายที่เกิดจากยาเสพติดก็คือการไม่ใช้ยาเสพติดใดๆเลย
นายกรัฐมนตรี นายมัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ ได้เรียกร้องให้ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่ “ว่องไว” “ช่างคิด” และ “ปฏิรูปใหม่” ซึ่งนับเป็นเรื่องที่เรายกย่องเพราะเป็นประเด็นที่เราต้องการอย่างแน่นอนหากจะหยุดยั้งการเสียชีวิตที่สามารถป้องกันได้ในเทศกาลดนตรีฤดูกาลนี้
*เดวิด แคลดิคอทท์ ที่ปรึกษาด้านแพทย์ฉุกเฉิน มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย
*ดวงตากำลังศึกษาในระดับปริญญาเอกสาขาวิทยาศาสตร์สาธารณสุข โดยเน้นประเด็นการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดในประเทศไทย ตอนนี้ทำงานประจำด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ควบคู่ไปกับการเป็นนักแปล