การลดโทษสำหรับอาชีพบริการทางเพศและการใช้ยาเสพติดถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับความเคลื่อนไหวด้านสิทธิของชาว LGBTQ+

ภาพถ่ายจากการเดินขบวน Pride March โดย MaybeMaybeMaybe ผ่าน Wikimedia Commons / Creative Commons 2.0
ในทุกๆวันทุกๆคนต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออยู่รอด ในยุคปัจจุบันนี้เกิดเหตุการณ์ที่ชาวอเมริกันกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ที่มีรายได้น้อยกว่า $40,000 ต่อปีตกงาน สร้างปัญหาและคำถามว่ามื้อต่อไปของเขาจะมาเมื่อไหร่และมาจากไหน หรือแม้กระทั่งหลังคาเหนือหัวจะมีไหมในอนาคตที่จะถึง
ในสังคมของชาว LGBTQ+ ผู้หญิงทรานส์ของข้าพเจ้าเองก็เคยพบเจอปัญหาแบบนี้มาแล้ว
พวกเรามักพบปัญหาการโดนไล่ออกจากบ้านตั้งแต่สมัยวัยรุ่นและถูกเข้าหาเชิงเหยียดเมื่อเราสมัครงาน ดังนั้น พวกเราจึงหันไปพึ่งทรัพยากรเดียวที่ยังพึงมีอยู่เพื่ออยู่รอดให้ได้ — ร่างกายของเราเอง
จริงๆแล้วเราอยากทำแบบนี้ไหม? ต่างคนก็จะมีคำตอบที่แตกต่างกัน แต่สำหรับหลายบุคคล คำถามนี้นั้นไม่มีโอกาสได้ฉุดคิดและถามตัวเองด้วยซ้ำ มากไปกว่านั้น การใช้ยายังถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพของหลายๆคนอีกด้วยเนื่องจากว่ามันถือเป็นเครื่องมือในการรับมือกับชีวิตในแต่ละวันนเมื่อเจอกับการเหยียดเพศที่หนักหนาแบบอธิบายไม่ได้ ทำให้เกิดความเครียดอันหนักหน่วงในชีวิตประจำวัน การลวงละเมิดและการถูกเหยียดเพศจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังถือเป็นอุปสรรคที่น่ากังวลในการทำงาน รวมถึงการโดนจับกุมด้วยเช่นกัน
การต่อสู้ของพนักงานบริการเพื่อเรียกร้องสิทธิไม่เคยถูกแยกออกจากการเรียกร้องสิทธิของชาว LGTBQ+
การวิเคราะห์สงครามยาเสพติดใดๆก็ตามควรรวมประเด็นของผลกระทบต่อพนักงานบริการด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อผู้หญิงทรานส์ ชาวผิวสีและหลากเชื้อชาติที่อยู่ในสังคมคนทรานส์มีส่วนร่วมกับการให้บริการทางเพศในอัตรามากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์โดยอ้างอิงจากเซอร์เวย์ในปี 2015 ที่ถูกจัดโดย National Transgender Discrimination Survey (NTDS) มากไปกว่านั้นกลุ่มคนทรานส์ที่มาจากกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาก็มีส่วน โดยถูกแบ่งเป็น 33 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดที่มีส่วนร่วม และกลุ่มคนทรานส์เฟมินีนก็ยังมีส่วร่วมมากกว่าสองเท่าตัวของชาวทรานส์มัสคูลีนที่ตอบเซอร์เวย์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริการและดูแลด้านการเสพติดเมทแอมเฟตามีนของ HIPS ซึ่งเป็นหนึ่งในเพียงสองโครงการที่มีส่วนร่วมกับการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยา (needle exchange program) ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่าการให้โทษการใช้ยาเสพติด สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาเสพติด และงานบริการทางเพศกำลังทำให้ชุมชนของเราปลอดภัยน้อยลง
เหตุผลแรกคือเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเพ่งเล็งและรังควานผู้เข้าใช้บริการต่างๆจากโครงการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยาของเรา หรือขัดขวางไม่ให้พวกเขาได้รับสิ่งที่ควรได้รับเพื่อป้องกันการแพร่ของโรค HIV และไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งอาจรวมถึงการขัดขวางการให้ยานาล็อคโซนเพื่อรักษาผู้ใช้ยาเสพติดได้
มากไปกว่านั้น การให้โทษสิ่งต่างๆดังกล่าวข้างต้นแท้จริงแล้วไม่มีส่วนในการลดการเกิดกิจกรรมเหล่านี้ขึ้นแม้แต่นิดเนื่องจากมันมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในระดับนึงเลย การให้ความสนใจประเด็นเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อการสร้างความตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมในสังคมแม้แต่นิดด้วยซ้ำ ซึ่งรวมถึงประเด็นของความยากจนหรือการเหยียดที่ชาว LGBTQ+ และชาวทรานส์ผิวสีพบเจออยู่เสมอ
แท้จริงแล้ว การให้โทษทั้งหมดยิ่งส่งเสริมให้ผู้ให้บริการดำเนินกิจการของตนเองในรูปแบบใต้ดินแทน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการไม่ได้รับการดูแลเรื่องความรุนแรงที่อาจพบเจอหรือการใช้ยาเกินขนาดมากยิ่งขึ้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกจับกุมในช่วงระบาดของไวรัส COVID-19 ที่จะส่งผลให้พวกเราพบเจอความเสี่ยงที่หนักหนาในคุกและเรือนจำ
เราอยู่แนวหน้าและเคยวางรากฐานในการยึดอำนาจในการออกสิทธิ์ออกเสียงของตัวเองมาแล้ว
ถ้าว่าเรื่องการต่อสู้เพื่อสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของผู้ให้บริการทางเพศ หลายคนไม่รู้ประเด็นนี้ไม่สามารถถูกแยกออกจากการสู้เพื่อสิทธิ์ของชาว LGBTQ+ ในมุมเดียวกัน ความเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านสงครามทางยาเสพติดก็มีความสำคัญไม่แพ้เรื่องการดูแลความเป็นอยู่และสุขภาพของผู้ให้บริการทางเพศด้วย โดยสามารถรวมชาวสีผิวและผู้ที่อยู่ในกลุ่มคนทรานส์ด้วยเช่นกัน
ในช่วงนี้เดือนแห่งความเท่าเทียมทางเพศนี้ (Pride Month) ประเด็นข้างต้นดังกล่าวไม่ควรถูกลืมหรือละเว้นไว้เนื่องจากผู้คนเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบที่ดีต่อชุมชนของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือที่นิว ยอร์ค และเขตปกครองพิเศษโคลัมเบีย
พวกเราอยู่แนวหน้ามาเสมอ และจะยังอยู่ตรงนี้เพื่อวางรากฐานของความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้แก่ทุกคนและยับยั้งไม่ให้เกิดผลกระทบในทางแย่ต่อทุกคนเพื่อให้เกิดการคืนสิทธิ์และเสียงให้ทุกคน
ด้วยการระบาดของไวรัสร้ายของยุคสมัยนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วสหรัฐฯอเมริกากำลังลดอัตราการจับกุมผู้ต้องสงสัยทั่วประเทศ คดีของการียาเสพติดในครอบครองก็ถูกละเว้นหรือลดโทษด้วยเช่นกันเพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายของไวรัส นโยบายดังกล่าวควรถูกดำเนินต่อไปในระยะยาวในยุคสมัยนี้ โดยเจ้าหน้าที่ควรยับยั้งการจับกุม ค้นบ้าน หรือดำเนินคดีคนที่มีอาชีพประเภท gig economy หรืออาชีพที่มีอิสระ หรือเป็นฟรีแลนซ์ โดยมีหน้าที่ขั่วคราวอย่างสม่ำเสมอ
แต่หากมองในภาพรวมแล้ว รัฐบาลท้องถิ่นในระดับต่างๆควรให้ความสำคัญเรื่องการคงระบบช่วยเหลือกันเองไว้ ระบบดังกล่าวคือกลยุทธ์ในการให้ความสำคัญธุรกิจหรือกิจการในท้องถิ่นตัวเอง มากไปกว่านั้น หลายคนอาจไม่ทราบว่าระบบนี้มีชาวทรานส์และ LGBTQ+ ช่วยเหลือและมีส่วนร่วมในช่วงแรกเริ่ม และมันมีความสำคัญในยุคปัจจุบันนี้มาก ยิ่งด้วยการมีไวรัสร้ายระบาดอยู่ ผู้คนควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
การกำหนดให้ประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายนับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงแก่ผู้เกี่ยวข้อง
ในช่วงเวลาอันปั่นป่วนนี้ เราอาจมีโอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบสังคม ในความจริงแล้ว อาชีพการให้บริการทางเพศไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าสิ่งที่คนอาชีพอื่นๆทำเลย แต่ถ้าหากอาชีพนี้ยังคงผิดกฎหมาย คนนับล้านคนก็จะยังคงถูกริดรอนสิทธิ์ ความอิสระ และเกียรติยศของตัวเอง ทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถหาที่พึ่งได้ในสังคมและอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงส่วนตัวอีกเช่นกัน
ดังนั้นการกำหนดให้อาชีพนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายจึงนับเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทั้งสังคมและผู้ที่เกี่ยวข้อง หากสังคมสามารถสร้างความเข้าใจกับอาชีพดังกล่าว โดยให้ความสำคัญเรื่องการเอาใจเขาใส่ใจเรา เราอาจอยู่ในสังคมที่ปลอดภัยและน่าอยู่มากยิ่งขึ้นก็ย่อมได้
แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้หญิงทรานส์ไม่สามารถต่อสู้ได้เพียงลำพัง หากต้องการช่วยเหลือพวกเราต้องสร้างความตระหนักว่าการยกเลิกการให้โทษอาชีพบริการทางเพศและล้มเลิกสงครามต่อยาเสพติดเป็นจุดศูนย์กลางของความเท่าเทียมทางเพศของกลุ่มชาว LGBTQ+ ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจถูกทอดทิ้งไปโดยไม่มีการดูแลใดๆทั้งสิ้น
*บทความนี้ได้ถูกตีพิมพ์โดย Filter สื่อออนไลน์ที่เผยแพร่ข่าวการใช้ยาเสพติด นโยบายด้านยาเสพติดและสิทธิมนุษยชนในประเด็นต่างๆโดยถูดแสดงผ่านมุมมองที่ลดความรุนแรงลง สามารถติดตาม Filter ได้ผ่าน Facebook หรือ Twitter และสมัครเพื่อรับข่าวสารผ่านจดหมายข่าวของเว็บไซต์ได้อีกเช่นกัน
* เจสสิกา มาร์ติเนซคือผู้หญิงข้ามเพศที่อาศัยอยู่วอชิงตัน ดี.ซี. ที่อุทิศตัวเองให้กับการสนับสนุนและเป็นกระบอกเสียงให้ทุกคนที่อยู่ในและนอกประเทศตนเองด้วยการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครกงารและความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ และเป็นสมาชิกของ Democratic National Committee ด้วยเช่นกัน เจสสิกาจบระดับศึกษาระดับปริญญาตรีในด้านอเมริกันศุกษาจากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ได้วางรากฐานสำหรับการให้ความเท่าเทียมทางด้านสิทธิ์และเศรษฐิจการเงินแก่กลุ่ม LGBTQ+ มากไปกว่านั้นยังเธอได้ทุ่มเวลาตัวเองให้กับการทำความเข้าใขเกี่ยวกับระบบอันาจในสังคม ระบบทางสังคมของเชื้อชาติ เอกลักษณ์ของ LGTBQ+ หรือแม้กระทั่งนโยบายต่างๆของภาครัฐด้วย ในขณะนี้เจสสิกาทำงานที่ HIPS และกำลังมุ่งหน้าลบความคิดเชิงลบที่สังคมมีต่อการใช้หรือพฤติกรรมการเสพยาเสพติด และลดระดับผลกระทบเชิงลบต่อผู้ใช้ยาเมธแอมเฟตามีนในชุนชนต่างๆในดี.ซี.อีกเช่นกัน